อ้างอิง :https://www.google.com/search?biw=1
💡 รสในวรรณคดีไทย
รสในวรรณดี มิได้เหมือนกับรสชาติของอาหารที่สัมผัสลิ้มรสชาติด้วยปลายลิ้น เฉกเช่นเดียวกับอาหาร แต่รสชาติในวรรณคดีนั้นสัมผัสด้วยรสถ้อยคำสำนวน ท่วงทำนองในการแต่ง คติเตือนใจ อารมณ์สะเทือนใจต่างๆที่แฝงอยู่ ซึ่งเป็นรสชาติที่น่าลิ้มลองน่าสัมผัสยิ่งนักสำหรับผู้ที่รักในวรรณคดีไทย
รสทางวรรณคดีมี ๔ ชนิด คือ 👉 เสาวรจนี นารีปราโมทย์ พิโรธวาทัง สัลลาปังคพิไสย
๑) เสาวรจนี (เสาว ว. ดี, งาม. + รจนี ก. ตกแต่ง, ประพันธ์; ว. งาม) รสนี้เป็นการชมความงาม ชมโฉม พร่ำพรรณาแลบรรยายถึงความงามแห่งนาง ทั้งตามขนบกวีเก่าก่อนแลในแบบฉบับส่วนตัว ตัวอย่างเช่น
…หนุ่มน้อยโสภาน่าเสียดาย ควรจะนับว่าชายโฉมยง
ทนต์แดงดั่งแสงทับทิม เพริศพริ้มเพรารับกับขนง
เกศาปลายงอนงามทรง เอวองค์สารพัดไม่ขัดตา…
จากบทข้างต้น เป็นการกล่าวชมรูปโฉมของวิหยาสะกำ ซึ่งถูกสังคามาระตาสังหาร กล่าวว่า วิหยาสะกำนั้น เป็นชายหนุ่มรูปงาม ฟันนั้นเป็นแสงแวววาวสีแดงราวกับแสงของทับทิม ซึ่งตัดรับกับคิ้ว รวมทั้งปลายเส้นผมซึ่งงอนงามขึ้นเป็นทรงสวยงาม รับกับทรวดทรงองค์เอว ของวิหยาสะกำ
๒) นารีปราโมทย์ (นารี น. หญิง + ปราโมทย์ น.ความบันเทิงใจ,ความปลื้มใจ,ปราโมช ก็ว่า) คือ การทำให้ “นารี” นั้น ปลื้ม “ปราโมทย์” ซึ่งรูปแบบหนี่งก็คือ การแสดงความรักผ่านการเกี้ยวโอ้โลมปฏิโลม อันคำว่า “โอ้โลมปฏิโลม” นี้ ความหมายอันแท้จริงของคำก็คือ การใช้มือลูบไปตาม(โอ้)แนวขน(โลมา)และย้อน(ปฏิ)ขนขึ้นมา เมื่อโอ้โลมไปมาในเบื้องปลาย นารีก็จักปรีดาปราโมทย์ ในตอนที่ศึกษา มีเพียงแค่ตอนที่อิเหนากำลังสั่งลาจากนางจินตะหรา ซึ่งเมื่ออ่านดูแล้วบางทีอาจจะไม่ถึงกับเป็นการโอ้โลมปฏิโลมเท่าใดนัก เพียงจะจัดไว้ ณ ที่นี้ เนื่องเพราะเป็นบทที่แสดงถึงความรัก กล่าวคือ
เมื่อนั้น พระสุริย์วงศ์เทวัญอสัญหยา
โลมนางพลางกล่าววาจา จงผินมาพาทีกับพี่ชาย
ซึ่งสัญญาว่าไว้กับนวลน้อง จะคงครองไมตรีไม่หนีหน่าย
มิได้แกล้งกลอกกลับอภิปราย อย่าสงกาว่าจะวายคลายรัก
จากบทข้างต้น ก็คือบทที่อิเหนาได้บอกกล่าวกับจินตะหราว่าตนไปก็คงไปเพียงไม่นาน ขอจินตะหราอย่าร้องไห้โศกเศร้าเลย
๓) พิโรธวาทัง (พิโรธ ก. โกรธเกรี้ยว ไม่สบอารามณ์ + วาทัง น. วาทะ คำพูด) คือการแสดงความโกธรแค้นผ่านการใช้คำตัดพ้อต่อว่าให้สาใจ ทั้งยังสำแดงความน้อยเนื้อต่ำใจ,ความผิดหวัง, ความแค้นคับอับจิต ความโกรธกริ้วตามออกมาด้วย เหมือนกล้วยกับเปลือก กวีมักตัดพ้อและประชดประเทียดเสียด ตัวอย่างของรสพิโรธวาทังนี้ก็มีอยู่มากมายที่จะยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างก็จะมี กล่าวคือ
เมื่อนั้น พระผู้ผ่านไอศูรย์สูงส่ง
ประกาศิตสีหนาทอาจอง จะณรงค์สงครามก็ตามใจ
ตรัสพลางย่างเยื้องยุรยาตร จากอาสน์แท่นทองผ่องใส
พนักงานปิดม่านทันใด เสด็จเข้าข้างในฉับพลันฯ
ในบทที่ยกมานี้เป็นตอนที่ท้าวดาหาได้ฟังความจากราชทูตของเมืองกะหมังกุหนิงที่กล่าวไว้ว่าถ้าท้าวดาหาไม่ยอมยกบุษบาให้กับวิหยาสะกำ ก็ขอให้เตรียมบ้านเมืองไว้ให้ดีเพราะเมืองกะหมังกุหนิงจะยกทัพมารบเมื่อท้าวดาหาได้ฟังก็โกรธเดือดดาลทันใดจึงบอกไปว่าจะมารบก็มาแล้วก็ลุกออกไปทันที
๔) สัลลาปังคพิไสย (สัลล น. ความโศกโศกาเศร้าร่ำน้ำตานอง, ความเจ็บปวดแปลบๆ แลบแล่นในเนื้อใจ,การครวญคร่ำรำพันรำพึง / สัลลาป น. การพูดจากัน + องค์ น. บท, ชิ้น อัน, ตัว + พิไสย น. ความสามารถ ฤาจะแผลงมาจาก วิสัย ซึ่งแปลว่า ธรรมชาติของสิ่งนั้น ๆ ฤาสันดาน ก็อาจเป็นได้) คือ การโอดคร่ำครวญ หรือบทโศกอันว่าด้วยการจากพรากสิ่งอันเป็นที่รัก มีใช้ให้เกลื่อนกล่นไปในบรรดานิราศ (ก. ไปจาก, ระเหระหน, ปราศจาก, ปราศจากความหวัง,ไม่มีความต้องการ, หมดอยาก, เฉยอยู่) เนื่องเพราะกวี อันมีท่านสุนทรภู่นำเริ่ดบรรเจิดรัศมีอยู่ที่หน้าขบวน จำต้องจรจากนางอันเป็นที่รัก อกจึงหนักแลครวญคร่ำจำนรรจ์ ประหนึ่งหายห่างกันไปครึ่งชีวิต ในตอนนี้ก็มีเช่นกัน เป็นบทที่อิเหนากำลังชมนกชมไม้ระหว่างจะไปดาหา
ว่าพลางทางชมคณานก โผนผกจับไม้อึงมี่
เบญจวรรณจับวัลย์ชาลี เหมือนวันพี่ไกลสามสุดามา
นางนวลจับนางนวลนอน เหมือนพี่แนบนวลสมรจินตะหรา
จากพรากจับจากจำนรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี
แขกเต้าจับเต่าร้างร้อง เหมือนร้างห้องมาหยารัศมี
นกแก้วจับแก้วพาที เหมือนแก้วพี่ทั้งสามสั่งความมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น